วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10 สถานที่ ไม่น่า เชื่อว่า มีอยู่ จริงบนโลก นี้ ครับท่าน


อันดับ 10 The Door To Hell

ประตูสู่นรก(Door to Hell) หลุมที่เต็มไปด้วยลาวาที่ไม่เคยดับมาตลอด 35 ปี และไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะดับลงเมื่อไหร่ อีกทั้งไม่มีใครกล้าลงไปสำรวจ สถานที่นี้ตั้งอยู่ที่เมืองหนึ่งของ Darvaz ในประเทศอุซเบกิสถาน
ใครอยากเห็นมากกว่านั้นไป Google Earth ที่ 40°15′8″N 58°26′23″E


อันดับ 9 Mount Roraima

รัฐโรไรมา เป็นรัฐเหนือสุดและเป็นรัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดในประเทศบราซิล ตั้งอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำอเมซอน อยู่ติดกับรัฐอามาโซนัสและรัฐปารา และยังติดกับประเทศเวเนซุเอลาและกายอานา โรไรนาเป็นสถานที่สวยงามโดดเด่น โดยเฉพาะจุดเด่นคือภูเขาเโรไรม่า ภูเขาที่เหมือนก้อนหินมหึมาที่สูงจนถึงก้อนเมฆ สูงกว่า 400 เมตร สูงชันทั้ง 4 ด้าน และติดกับสามชายแดนคือเวเนซูเอลา, บราซิล และกายอานา ที่นั้นมีพืชและสัตว์ที่แปลกประหลาดมากมาย พร้อมด้วยสภาพแวดล้อมสุดมหัศจรรย์ พร้อมหน้าตาที่สวยงามจนมันเคยปรากฏในการ์ตูนปู่ซ่าบ้าพลังมาแล้ว

 

อันดับ 8 Barringer Crater

หุบอุกกาบาตบาร์ริงเกอร์ หรือบาร์ริงเกอร์ เครเตอร์ ตั้งอยู่ในรัฐแอริโซนา ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างเมืองสโลว์กับเมืองแฟล็กสตาฟฟ์ เป็นหลุมอุกาบาตที่มีมีขนาด ความกว้าง 1250 เมตร ลึก 174 เมตร ถ้ามองจากพื้นราบทะเลทราย บริเวณรอบหลุมจะดูเหมือนเนินเตี้ยๆ จากการสำรวจโดย ซึ่งการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1890 หลายคนยังคงเข้าใจว่าเป็นหุบภูเขาไฟธรรดา แต่ในปี ค.ศ.1890 มีการค้นพบเศษเหล็ก ในปี ค.ศ.1902 ดร. แดเนียล บาร์ริงเกอร์ ก็เข้ามาสำรวจและพบข้อเท็จจริงว่า ชั้นหินด้านตะวันออกเฉียงใต้ของหลุมสูงกว่าด้านอื่นถึง 30 เมตร ทำให้สรุปได้ว่า ลูกอุกกาบาตพุ่งชนในมุมต่ำทางทิศเหนือ และฝังตัวลงในด้านตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีการขุดบริเวณนั้นและพบเศษนิกเกิลและเศษเหล็กมากขึ้นเมื่อขุดลึกเข้าไป วงการวิทยาศาสตร์สมัยนั้นเริ่มคล้อยตามว่าเกิดจากหลุมอุกกาบาตเมื่อ ราว50,000 ปีที่แล้ว ผลจากอุกกาบาตในครั้งนั้นทำให้เกิดหลุม กว้าง 1.2 กม.ลึก 2 กม.



อันดับ 7 The Great Dune of Pyla

ไม่น่าเชื่อว่ายุโรปจะมีทะเลทราย แต่นี้มันมีอยู่จริงๆ และมันได้ถูกขนามนามว่า เป็นชายหาดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ที่คุณเห็นเป็นจุดดำๆ นั้นคือคนนะครับ มันมีชื่อว่าเนินทราย The Great of Pyla ในเมือง Arcachon… ประเทศฝรั่งเศส มียาวถึง 3 กิโลเมตร กว้างกว่า 500 เมตร สูงกว่า 100 เมตร เป็นหาดทรายขนาดใหญ่ มีความเป็นธรรมชาติ ความลึกของแม่น้ำลึกถึง 1500 เมตริก การเดินทางไปควรจะเป็นการเดินเท้าขึ้นไปเพราะมันสะดวกที่สุด หากคุณขึ้นไปถึงด้านบนคุณจะพบทัศนียภาพที่สุดแสนจะสวยงาม ส่วนสาเหตุการเกิดสถานที่แห่งนี้เนื่องมาจากจุดสถานที่นี้เป็นจุดที่ทรายจากที่ต่างๆ ถูกลมทะเลพัดโถมกันมาเรื่อยๆ จากกองเล็กๆ จนเป็นกองขนาดมหึมาแบบนี้ และมันจะค่อยๆ กินเนื้อที่เข้ามาในเมืองเรื่อยๆ ปีละ 4.5 เมตร และหากปล่อยไว้มันจะกลายเป็นเมืองแห่งทรายในที่สุด



อันดับ 6 Socotra

ไม่น่าเชื่อว่านี้คือเกาะบนโลกมนุษย์เพราะว่ามันช่างเหมือนบนดาวเคราะห์ที่มีแต่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริงๆ เกาะโซโคตร้า เป็นหมู่เกาะเล็กๆภายใต้เยเมน. ที่ปลายติ่งแหลมของทวีปแอฟริกา (Horn of Africa) อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากประเทศโซมาเลีย 250 กิโลเมตร เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในจำนวน 4 เกาะสังกัดหมู่เกาะ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเมื่อ กรกฏาคม 2008 นี้ สภาพภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าว และแห้งแล้ง ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาอันแปลกตาแปลกใจ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีฟ้าและเขียวจากธรรมชาติ แต่สิ่งที่แปลกที่สุดคือมันเป็นสถานที่รวมแห่งพืชพรรณแปลกประหลาดหลายชนิด ต้นไม้รูปทรงแปลก ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดได้อายุกว่า 20 ล้านปี การแยกโดดเดี่ยวได้นำมาให้ Socotra กลุ่มพืชและสัตว์ “หนึ่งไม่มีสอง” ในโลก 37% ในจำนวนพืช 825 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 90% และสัตว์น้ำมีเปลือกชนิดต่างๆ 95% ที่ ไม่สามารถพบเห็นในไม่ว่าสถานที่อื่นใดโลก เช่น ต้น “กุหลาบแห่งทะเลทราย (Desert Rose)”ต้น dragon’s blood (เลือดมังกร) ที่ว่ากันว่ามีสรรพคุณรักษาได้สารพัดโรค จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่เกาะแห่งนี้จะถูกขนามนามว่า “Galápagos ของมหาสมุทรอินเดีย”



อันดับ 5 Greenland 83-42

กรีนแลนด์ เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นดินแดนทางเหนือสุดของโลก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติกและเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ประมาณ 2,175,900 ตารางกิโลเมตร มีฐานะเป็นดินแดนปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก เป็นเกาะที่มีทิวทัศน์สวยงามมากๆ และบ้านเรือนที่แปลกตาหลากสีสันและสถานที่แปลกใจนั้นคือจุด 83-42 เชื่อกันว่า northernmost จุดถวารของโลก มันเป็นพื้นที่ที่เล็กนิดเดียว แค่ 15 -4 เมตร สูง 4 เมตร ห่างจากขั้วโลกเหนือไป 400 ไมล์ ถูกค้นพบในปี 1998 และพบว่ามีพืชเติบโตอยู่ที่นั้น พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนกรวดที่ไม่มันคงและไม่ปกคลุมน้ำแข็ง จนกลายเป็นพื้นที่อัศจรรย์ในที่สุด



อันดับ 4 Rotorua New Zealand

สถานที่แห่งนี้อยู่ในเมืองโรโตรัวเมืองชายฝั่งทางตอนใต้ของทะเลสาปชื่อเดียวกันในพื้นที่ของเกาะทางเหนือของ ประเทศนิวซีแลนด์เมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน แหล่งรวมความอัศจรรย์ของน้ำพุร้อน ป่า ทุ่งหญ้าและทะเลสาบ อุดมสมบูรณ์ด้วยปลาเทราต์ ที่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนน่าค้นหา


ด้วยสภาพภูมิประเทศของเมืองตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟจึงมีบ่อโคลนร้อนมากมาย ทำให้เป็นที่มาของชื่อเรียกขานอีกอย่างหนึ่งของเมืองนี้ว่า ‘เมืองแห่งซัลเฟอร์’ (Sulphur City) เพราะบรรดาบ่อโคลนทั้งหลายนี้ได้ปล่อยซัลเฟอร์หรือกำมะถันออกมาฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำแร่ น้ำพุร้อนมากมายทำให้เมืองโรโตรัวกลายเป็นเมืองสปาธรรมชาติชั้นเยี่ยมของนิวซีแลนด์อีกด้วย

สถานที่แนะนำ Pohutu Geyser น้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดร้อนที่พุ่งขึ้นเหนือพื้นดินสูงราว 30 เมตร ประมาณ 1–2 ครั้งต่อชั่วโมง และ Waiotapu Thermal Wonderland สวนบ่อน้ำร้อนและโคลนเดือด เป็นบ่อโคลนเดือด และมีลวดลาย มีการเคลื่อนไหว และทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ ก็จะได้ภาพลวดลายใหม่ๆ ทุกครั้ง



อันดับ 3 Don Juan Pond

เป็นทะเลสาบในทวีปแอนตาร์กติกาที่มีความเค็มถึง 40% มีความเค็มเทียบเท่า Dead Sen ตั้งชื่อตามคนค้นพบซึ่งเป็นสองนักบินคือ Lt Don Roe และ Lt John Hi ในปี 1961 เป็นทะเลสาบขนาดเล็กเพียง 100 เมตร และลึกประมาณ 0.1 เมตร ซึ่งตื้นมากๆ อุณหภูมิน้ำติดลบ 22 องศาฟาเรนไฮด์ แต่น้ำยังอยู่สถาวะของเหลว



อันดับ 2 Iceberg B-15

ภูเขาน้ำแข็งที่ถูกบันทึกว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา มันมีพื้นที่ 3,100 ตร.กม ทำให้มันมีขนาดใหญ่กว่าเกาะจาเมกา เป็นภูเขาน้ำแข็งที่แตกหักออกมาจากแผ่นน้ำแข็ง Ross ในทวีปแอนตาร์กติกาในปี 2000 ภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์นี้อยู่นอกชายฝั่งทวีปแอนตาร์กติกา ลอยอยู่ในมหาสมุทรท่ามกลางคลื่นและลมไม่มีท่าทีว่ามันจะละลายหายไปเลย



อันดับ 1 Guaíra Falls

น้ำตกอีกวาซู (Iguazu Falls) คำว่าอีกวาซู แปลว่า “สายน้ำอันยิ่งใหญ่” เป็นคำมาจากภาษากวารานี (Guarani)ชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม น้ำตกอีกวาซูตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศอาร์เจนตินา เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกโดยใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาประมาณ 30 เท่า อย่างไรก็ตามขนาดของน้ำตกใกล้เคียงกับน้ำตกวิกตอเรียในทวีปแอฟริกา น้ำตกอีกวาซูเกิดจากแม่น้ำอีกวาซูซึ่งไหลมาจากที่ราบ สูงปารานา ตกจากขอบที่ราบสูงขนาดใหญ่ลงสู่พื้นที่ราบต่ำกว่า จึงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เป็นแนวยาวกว่า 4 กิโลเมตร สูงกว่า 269 ฟุต ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่อีก 275 แห่ง ในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมปริมาณน้ำมีมากถึงกว่า 13.6 ล้านลิตรต่อวินาที แต่ในช่วงฤดูร้อน คือระหว่างเมษายนถึงเดือนตุลาคม ปริมาณน้ำจะลดลงเหลือ 2.3 ล้านลิตรต่อวินาที บริเวณรอบ ๆ น้ำตกจะเกิดละอองน้ำอยู่ตลอดเวลาและมีเสียงดังไปไกลก ว่า 24 กิโลเมตร บนฝั่งประเทศบราซิลจะมองเห็นน้ำตกได้ทั่วถึงและงดงาม แต่ทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินาสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้กว่า



อ้างอิงจาก


http://listverse.com/2009/12/18/10-unique-and-amazing-places-on-earth/

http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=186

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น