วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

10อันดับสถานที่พระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุด


อันดับที่ 10 Santa Monica Pier, Los Angeles





อันดับที่ 9 Santorini, Greece





อันดับที่ 8 Taj Mahal, India



 

อันดับที่ 7 Serengeti, Tanzania





อันดับที่ 6 Great Pyramids, Egypt





อันดับที่ 5 Grand Canyon, Arizona





อันดับที่ 4 Cape Town , South Africa




อันดับที่ 3 The Maldives, Indian Ocean





อันดับที่ 2 Ipanema Beach, Rio de Janeiro





อันดับที่ 1 Sentosa Island, Singapore




ไม่มี ประเทศ ไทย เลย  T_T  เสียดาย  

eiei


 
 
 
 
 
แหล่งที่มา http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1889460

กำเนิดสิ่งมีชีวิต


สิ่งมีชีวิต กำเนิดขึ้นบนโลกได้อย่างไร คำถามนี้ มีผู้พยามยามค้นหาคำตอบมาตั้งแต่อดีตกาล โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 3 ของระบบสุริยะ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ประมาณ 150 ล้านกิโลเมตร อุณหภูมิไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป แรงโน้มถ่วงมีขนาดพอเหมาะ จึงปกคลุมไปด้วยชั้นบรรยากาศ น้ำที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ ไฮโดรเจน และ ออกซิเจน มีปริมาณมาก กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก น้ำมีคุณลักษณะพิเศษ คือ สามารถเปลี่ยนสถานะได้ อยู่ได้ทั้ง 3 สถานะ คือ ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ เป็นตัวทำละลายที่ดี ปัจจัยเหล่านี้ เอื้อให้สิ่งมีชีวิต กำเนิดขึ้นมาบนโลก และดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน

น้ำทะเลในอดีตเมื่อ 3,500 ล้านปีก่อน ประกอบด้วยธาตุ หรือสารประกอบต่างๆ ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ทำให้โลกเต็มไปด้วยลาวา เถ้าถ่าน และก๊าซต่างๆ รวมตัวกันอยู่ ก๊าซส่วนใหญ่จะเป็น มีเทน แอมโมเนีย ไฮโดรเจน บรรยากาศของโลกเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้า โลกยุคนั้น จึงเต็มไปด้วยฟ้าผ่า ความร้อนจากใต้พื้นโลก ทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเล สูงกว่าปัจจุบัน ปฏิกิริยาทางเคมี ของก๊าซ หรือสารละลายของ มีเทน แอมโมเนีย และไฮโดรเจน ในน้ำทะเล ทำให้เกิดกรดอะมิโน เช่น ไกลซีน อลานิน กรดกลูตามิืค กรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารพื้นฐานของ ดีเอ็นเอ และ อาร์เอ็นเอ อันเป็นโครงสร้างพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต

โครงสร้างพื้นฐานของชีวิต คือเซลล์ จะประกอบด้วย โปรตีน และ ดีเอ็นเอ หรือ อาร์เอ็นเอ จากสภาพของโลกในอดีต ด้วยความบังเอิญ จึงเกิดสภาพการเหมาะสม อย่างพอดิบพอดี ทำให้เกิดเซลล์ อย่างง่ายๆ ลักษณะคล้ายเซล์ของแบคทีเรียในปัจจุบันขึ้นมา เซลล์คล้ายแบคทีเรียนี้ เรียกว่า โปรคาริโอต (Prokaryotes) ยังไม่มีนิวเคลียส สารพันธุกรรม จึงกระจายอยู่ทั่วไปในเซลล์ โปรคาริโอต สามารถสืบพันธุ์ได้โดยไม่อาศัยเพศ เป็นการกำเนิดชีวิตบนโลก รุ่นแรก สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน เป็น โปรคาริโอต ที่สามารถสังเคราะห์แสง ได้ผลผลิตเป็นก๊าซออกซิเจน ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศโลก ปัจจุบันแบ่ง โปรคาริโอต เป็น อาร์เคีย และแบคทีเรีย

เซลล์ที่พบในซากฟอสซิลรุ่นหลังในหิน อายุราว 1,500-2,500 ล้านปีก่อน เริ่มมีนิวเคลียส เรียกว่า ยูคาริโอต (eukaryotes) สิ่งมีชีวิต มีวิวัฒนาการ ขึ้นมาอีกหนึ่งขั้น ภายในนิวเคลียส ของยูคาริโอต มี โครโมโซม หลายชุด ภายในโครโมโซมมี ดีเอ็นเอ บรรจุอยู่ การขยายพันธุ์ทำได้โดยการคัดลอกรหัสพันธุกรรม ไปสู่ดีเอ็นเอตัวใหม่ โดยใช้กระบวนการทางโปรตีน ปัจจุบัน แบ่ง ยูคาริโอต เป็น สัตว์ พืช และเห็ด รา

หลังจากกำนิดสิ่งมีชีวิตบนโลก สิ่งมีชีวิตได้เกิดการกลายพันธุ์ เกิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมามากมาย สายพันธุ์ใด ที่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงของโลกได้ ก็ยังคงอยู่ สายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต ที่กำเนิดขึ้นมา มากกว่า 99% สูญพันธุ์ไปจากโลกหมดแล้ว สาเหตุของการสูญพันธุ์ ครั้งใหญ่ เกิดจาก ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่บนโลกที่กินเวลายาวนาน และอุกาบาต พุ่งชนโลก สาเหตุทั้ง 2 ทำให้เิกิดการเปลี่ยนแปลงในบริเวณกว้างมาก โดยทั่วไปนอกจากโลกจะเสียหายโดยตรงจากลาวา หรือแรงระเบิดจากอุกาบาต พุ่งชนโลกแล้ว โลกยังเกิดความเสียหายจากฝุ่นละออง ปริมาณ มากมาย มหาศาล ที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงมายังโลก ได้น้อยลง และไม่เพียงพอ พืชสังเคราะห์แสงได้น้อยลง ทำให้พืชไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร รวมทั้ง อากาศจะหนาวเย็นลง สัตว์ส่วนใหญ่ จึงขาดอาหาร ทำให้มีผลกระทบไปเป็นทอดๆ ตามห่วงโซ่อาหาร มีสัตว์จำนวนไม่กี่ชนิด ที่สามารถปรับตัวอยู่รอดได้ แล้วจึงมีวิวัฒนาการ แตกสายพันธุ์ กลายมาเป็น สัตว์อื่นๆ และมนุษย์ จนถึงปัจจุบัน



แหล่งที่มา http://www.origins-earth-life.com/

กำเนิดโลก


โลก ดวงอาทิตย์ และระบบสุริยะกำเนิดขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อราว 4,600 ล้านปีก่อน จากกลุ่มก๊าซ หรือเนบิวลา กลุ่มหนึ่ง บริเวณขอบนอกด้านขวาของทางช้างเผือก เนบิวลา นี้ เป็นกลุ่มก๊าซและมวลสาร ที่สาดออกมาจาก ซุปเปอร์โนวา ของดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ ในอดีตก่อนหน้า เนบิวลา นี้มีรูปร่างคล้ายจานแบน หมุนรอบตัวเองตลอดเวลา ทำให้กลุ่มก๊าซค่อยๆหดตัวลง ในขณะที่ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มก๊าซที่อยู่ด้านในจะเริ่มรวมตัวเป็นดวงอาทิตย์ กลุ่มก๊าซที่อยู่ด้านนอกจะค่อยๆแยกตัวออกมาเป็นวงแหวนหลายวงแหวน และในแต่ละวงแหวน จะเกิดการรวมกลุ่มกัน กำเนิด เป็นดาวบริวาร หรือดาวเคราะห์ ทั้ง 8 ดวง รวมทั้ง โลกของเรา และดวงจันทร์ของดาวเคราะห์แต่ละดวงด้วย ส่วนที่เหลือ กลายเป็นดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง อุกาบาต และเทหวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะ

เนื่องจาก เนบิวลา ที่เป็นแหล่ง กำเนิด โลก ดวงอาทิตย์ และระบบสุริยะ มาจาก ซุปเปอร์โนวา (supernova) ของดาวฤกษ์ ดวงใดดวงหนึ่ง ดังกล่าว เนบิวลา นี้จึงประกอบไปด้วย ไฮโดรเจน ฮีเลี่ยม และธาตุที่หนักกว่า เช่น คาร์บอน ออกซิเจน ไปจนถึงเหล็ก เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย โลก ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร รวมทั้งดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ดังกล่าว และดาวเคราะห์น้อย จึงประกอบด้วยธาตุหนัก ส่วนก๊าซที่เป็นส่วนใหญ่คือ ไฮโดรเจน ฮีเลี่ยม ได้รวมตัวเป็นดวงอาทิตย์ ส่วนน้อยที่เหลือ เป็นองค์ประกอบหลักของ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน

จากองค์ประกอบของโลกในช่วงกำเนิดใหม่ๆที่ประกอบไปด้วย ไฮโดรเจน ฮีเลี่ยม คาร์บอน และธาตุที่หนักกว่า จึงมีลักษณะเป็นก้อนกลมของของเหลวที่หลอมละลาย หมุนรอบตัวเอง และโคจรรอบดวงอาทิตย์อยู่ตลอดเวลา ธาตุหนัก เช่นเหล็ก จะจมลงไปอยู่แกนกลางของโลก

ช่วงแรกที กำเนิดดวงอาทิตย์ และระบบสุริยะ ซึ่ง โลก ได้กำเนิดขึ้นมาพร้อมๆกัน โลกในยุค กำเนิดใหม่ นั้นยังเป็นกลุ่มของเหลวร้อน ยุคนั้น อุกาบาตขนาดใหญ่ ที่มีอยู่มากมาย ได้พุ่งชนโลก หลายๆต่อหลายครั้ง จึงเกิดการหลอมรวมกันเป็นโลกใบใหญ่ขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป เปลือกนอกของโลก จะค่อยๆเย็นตัวลง กลายเป็นชั้นหิน ส่วนด้านในของโลกซึ่งเป็นส่วนมาก จะยังคงเป็นธาตุหลอมเหลว ช่วงแรกของโลกจึงปกคลุมไปด้วยภูเขาไฟ ลาวา ทะเลเพลิง ทะเลเมฆ ทะเลหมอก

เมฆที่ปกคลุมโลก ประกอบด้วยก๊าซของธาตุที่ประกอบขึ้นเป็นโลก เช่น โฮโดรเจน ออกซิเจน ฮีเลี่ยม เมื่อมีอุณหภูมิ และความดันที่เหมาะสม จึงเกิดการจับตัวทางเคมีกลายเป็นสารประกอบต่างๆ ขึ้นมามากมาย สารประกอบที่สำคัญคือ น้ำ ซึ่งเกิดจาการจับตัวของ ไฮโดรเจน กับออกซิเจน น้ำ เป็นสารประกอบที่อยู่ไ้ด้ทั้งสามสถานะ คือ ไอน้ำ น้ำแข็ง และ น้ำที่เป็นของเหลว และเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลกมีขนาดพอเหมาะ ไอน้ำที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ จึงถูกโลก ดึงดูดไว้ ไม่ลอยหายไปในอวกาศ เมื่อบรรยากาศโลก เย็นตัวลง จึงกลั่นตัวกลายเป็นฝนตกลงมายังพื้นโลก ในขณะที่ผิวโลกยังร้อน น้ำฝนที่ตกลงมานั้นจึงระเหยกลายเป็นไออย่างรวดเร็วแล้วเป็นฝนตกลงมาอีก เป็นโลกที่ต้องเผชิญกับ ห่าฝน ที่ตกลงมานับล้านๆห่า กินเวลายาวนานนับล้านปี อุณหภูมิผิวโลกจึงค่อยๆเย็นลง ฝนที่ตกลงมาในช่วงนี้ ค่อยๆสะสม เกิดเป็นทะเลขึ้นมา

พื้นผิวของโลก ก็ยังไม่ใช่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน มีการเกิดภูเขา ทำให้แผ่นดินสูงขึ้นมา แผ่นดินไหว ทำให้แผ่นดินพัง หรือยุบตัวหายไป อยู่ตลอดเวลา ฝนที่ตกลงมา จะละลายรวมเอาก๊าซบางอย่างเช่น มีเทน แอมโมเนีย หรือซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มาด้วย ทำให้มีสภาพเป็นกรด กัดกร่อนพื้นผิวโลก กลายเป็นหิน และดินต่างๆ กลายเป็นแผ่นดิน และทวีปขึ้นมา

สภาพของโลกในอดีต ในน้ำทะเล ประกอบด้วยธาตุ ก๊าซ หรือสารประกอบต่างๆ มากมาย อันเนื่องมาจากภูเขาไฟระเบิด พ่นเอาลาวา และก๊าซต่างๆ ออกมา ก๊าซ หรือสารประกอบต่างๆ จึงรวมตัวกันอยู่ ในน้ำ และ ในชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งเต็มไปด้วยประจุไฟฟ้า โลกยุคนั้นยังต้องเผชิญกับ ฟ้าผ่า ความร้อนจากใต้พื้นโลก ปฏิกิริยาทางเคมี ของก๊าซ หรือสารละลายของ มีเทน แอมโมเนีย และไฮโดรเจน ทำให้เกิดกรดอะมิโน ซึ่งเป็นสารพื้นฐานของ ดีเอ็นเอ ขึ้นมาโดยบังเอิญ และเมื่อเกิดสภาพการเหมาะสมอย่างพอดิบพอดี จึงเกิดเซลล์ง่ายๆ ลักษณะคล้ายเซล์ของแบคทีเรียในปัจจุบันขึ้นมา สามารถสืบพันธุ์ได้ จึงเป็นการ กำเนิดสิ่งมีชีวิต ขึ้นมาบนโลก



แหล่งที่มา http://www.origins-earth-life.com/

กำเนิดดวงอาทิตย์ และ ระบบสุริยะ


ดวงอาทิตย์ และดาวบริวาร รวมกันเรียกว่า ระบบสุริยะ (Solar System) กำเนิดขึ้นเมื่อราว 4,600 ล้านปีก่อน โดยกำเนิดจากเนบิวลา หรือกลุ่มก๊าซ ที่หลงเหลือจากซุปเปอร์โนวา ของดาวฤกษ์ขนาดยักษ์ ดวงใดดวงหนึ่งในทางช้างเผือก ดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ขนาดกลางดวงหนึ่ง ในจำนวนดาวฤกษ์มากกว่า แสนล้านดวงในทางช้างเผือก ดวงอาทิตย์อาจเป็นดาวฤกษ์เกิดใหม่ รุ่นที่ 2 หรือมากกว่านั้น ดาวบริวาร หรือดาวเคราะห์ที่กำเนิดขึ้นในระบบสุริยะจึงมีธาตุ ที่มีมวลโมเลกุลใหญ่กว่าไฮโดรเจน และฮีเลี่ยม เป็นธาตุหนักเช่น คาร์บอน ออกซิเจน ไปจนถึง เหล็ก ปะปนอยู่ด้วย ดังเช่นที่พบบนดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดวงจันทร์ของดาวเคระห์ดังกล่าวหรือ เทหวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะ ธาตุหนักเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากการหลอมไฮโดรเจน เป็น ฮีเลี่ยม และธาตุที่มีมวลโมเลกุลใหญ่ขึ้น โดยปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ในดาวฤกษ์รุ่นก่อนที่จะเกิด ซุปเปอร์โนวา (supernova) ดังกล่าว มวลส่วนผิวนอก ของดาวฤกษ์ที่ถูกแรงระเบิดสาดออกมาตอนเกิด ซุปเปอร์โนวา (supernova) ได้กลายมาเป็นเนบิวลา หรือกลุ่มก๊าซ ที่เป็นต้นกำเนิด ของ ดวงอาทิตย์ และระบบสุริยะ ที่เราอาศัยอยู่

เนบิวลา หรือกลุ่มก๊าซ ที่เป็นต้นกำเนิดดวงอาทิตย์ และระบบสุริยะ มีรูปร่างคล้ายจานแบน หมุนรอบตัวเองตลอดเวลา กลุ่มก๊าซจะค่อยๆหดตัวลง ในขณะที่ความเร็วในการหมุนรอบตัวเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มก๊าซที่อยู่ด้านในจะเริ่มรวมกลุ่มเป็นดาวฤกษ์รุ่นใหม่ คือดวงอาทิตย์ และเพื่อรักษาสมดุลย์ของระบบ กลุ่มก๊าซที่อยู่ด้านนอกจะค่อยๆแยกตัวออกมาเป็นวงแหวน เมื่อดวงอาทิตย์หดตัวเล็กลงเรื่อยๆ จะค่อยๆกำเนิดวงแหวนของก๊าซด้านนอก แยกออกมาอีกทีละชั้น วงแหวนที่กำเนิดขึ้นมานี่เอง เป็นวัตถุดิบในการ กำเนิดโลก กำเนิดดาวบริวาร หรือดาวเคราะห์ อื่น อีก ทั้ง 7 ดวง รวมทั้งดวงจันทร์ของดาวเคราะห์แต่ละดวงด้วย ส่วนที่เหลือ กลายเป็นดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง อุกาบาต และเทหวัตถุอื่นๆ ในระบบสุริยะ

ดวงอาทิตย์ มีเนื้อมวลคิดเป็น 99.87% ของมวลทั้งหมดในระบบสุริยะ เส้นผ่าศูนย์กลางของดวงอาทิตย์ใหญ่กว่าโลก มากกว่า 100 เท่า อุณหภูมิที่ใจกลางดวงอาทิตย์ สูงกว่า 10 ล้านองศาเซลเซียส อุณหภูมิที่ิผิว ราว 5,500 องศาเซลเซียส ปัจจุบันดวงอาทิตย์ใช้ชีวิตมาแล้วครึ่งหนึ่ง บริโภคมวลสาร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไฮโดรเจน วินาทีละ 4 ล้านตัน อีกราว 4,600 ล้านปี ดวงอาทิตย์ก็จะพบจุดจบ แต่ดวงอาทิตย์ ขนาดไม่ใหญ่เพียงพอที่จะเกิด ซุปเปอร์โนวา (supernova) ดวงอาทิตย์จะขยายขนาดใหญ่ขึ้น กลายเป็นดาวยักษ์แดง เผาไหม้กลืนกินโลกของเรา ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะเผาไหม้เชื้อเพลิงด้านนอกจนเกือบหมด แล้วจึงจะหดตัวมีขนาดเล็กลง สิ้นอายุ กลายเป็นดาวแคระขาว ต่อไป




แหล่งที่มา http://www.origins-earth-life.com/

ซุปเปอร์โนวา (Supernova)


ซุปเปอร์โนวา หรือ มหานวดารา หมายถึง การระเบิดของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 8 เท่าขึ้นไป การระเบิดนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อดาวฤกษ์ ใช้เชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในแกนกลางหมดลง ซุปเปอร์โนวา จะระเบิดสาดมวลสารที่อยู่ตามผิวชั้นนอก ของดาวฤกษ์ออกมา ซุปเปอร์โนวา จะเปล่งแสงสว่างออกมามากมายมหาศาล อยู่นานนับเดือน จึงจะค่อยๆจางลง ภายหลังซุปเปอร์โนวา แกนกลาง จะถูกอัดแน่นรวมตัวเป็น ดาวนิวตรอน และ หากดาวนิวตรอนมีมวลมากพอ ดาวนิวตรอน อาจยุบตัวเกิดเป็นหลุมดำ

โดยทั่วไป ดาวฤกษ์จะประกอบด้วยกลุ่มก๊าซไฮโดรเจน เป็นส่วนใหญ่ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น ภายในใจกลางดาวฤกษ์ จะหลอมก๊าซไฮโดรเจนเป็น ฮีเลี่ยม หลอมฮีเลี่ยมได้ธาตุที่มีมวลโมเลกุล ใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น คาร์บอน ออกซิเจน จนได้ธาตุหนักที่สุดที่จะเกิดขึ้น คือ เหล็ก โดยที่ธาตุหนักเหล่านี้ จะถูกสะสมไว้ในแกนกลางของดาวฤกษ์ สำหรับดาวฤกษ์ที่ขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 8 เท่าขึ้นไป เมื่อไฮโดรเจน และฮีเลี่ยม ในแกนกลางหมดลง น้ำหนักกดทับจากก๊าซที่อยู่ผิวนอกจะยังมีมากมายมหาศาล จึงทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นไปเรื่อยๆ อาจสูงถึง 600-1500 ล้านองศาสเซลเซียส ทำให้กิดปฏิกริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นของ คาร์บอน และ ออกซิเจน และธาตุหนักอื่นๆ ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดาวฤกษ์ยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจุดวิกฤติ อิเล็กตรอนของแกนชั้นในที่เป็นเหล็ก จะถูกบีบอัดให้รวมตัวกับโปรตอน กลายเป็นนิวตรอน และอนุภาคนิวตริโน พลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากการยุบตัวอย่างรวดเร็วนี้ จะระเบิดออกมาทุกทิศทาง ด้วยแรงระบิดมหาศาล การระเบิดนี้ เรียกว่า ซุปเปอร์โนวา

มวลสารที่อยู่ตามผิวชั้นนอกของดาวฤกษ์ ที่ถูกแรงระเบิดของซุปเปอร์โนวา สาดออกมา จะเป็นกลุ่มก๊าซ และธาตุหนักบางส่วน กระจายไปตามอวกาศ หากมีปริมาณมากพอ อาจรวมกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เรียกว่า เนบิวลา ซึ่งอาจพัฒนา จนให้ กำเนิดดาวฤกษ์รุ่นใหม่

หลังเิกิด ซุปเปอร์โนวา แกนกลางที่เป็นดาวนิวตรอน จะกลายเป็นดาวทรงกลมขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 20-30 กิโลเมตร แต่มีความหนาแน่นสูงมาก มวลของดาวนิวตรอนเพียง 1 ช้อนโต๊ะ๊๊ อาจหนักถึง พันล้านตัน ถ้าดาวฤกษ์ที่เกิดซุปเปอร์โนวา มีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ 18 เท่าขึ้นไป ดาวนิวตรอนที่เกิดขึ้น จะมีมวลมากกว่ามวลดวงอาทิตย์ 3 เท่า ทำให้ดาวนิวตรอน ไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงของตัวดวงดาวเองได้ ดาวนิวตรอนจะยุบตัวกลายเป็น หลุมดำ (Black Hole) ดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปแหลกสลายภายใน โดยไม่มีอะไรหลุดรอดออกมาจากหลุมดำได้ แม้แต่ แสง ซึ่งเคลื่อนที่เร็วที่สุด




แหล่งที่มา http://www.origins-earth-life.com/

กําเนิดดาวฤกษ์


ภายหลังจากการระบิดครั้งใหญ่ หรือ บิ๊กแบง (Big Bang) ดาวฤกษ์ ได้กำเนิดขึ้น จากการรวมตัวกันของกลุ่มก๊าซ ที่อยู่ภายในแต่ละ ดาราจักร หรือกาแล็กซี่ ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นก๊าซไฮโดรเจน และฮีเลียม ทำให้มีดาวฤกษ์กำเนิดใหม่ หลายล้านล้านดวง ภายในดาราจักร หลายแสนล้านดาราจักร

การกำเนิดดาวฤกษ์ แต่ละดวง อาจใช้เวลานานหลายล้านปี ช่วงเริ่มแรกกลุ่มก๊าซที่รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อยๆ นับล้านกลุ่ม ภายใน ดาราจักร หรือกาแล็กซี่ จะเกิดการหมุนวน และยุบตัวลง เมื่อมีความหนาแน่นมากขึ้น กลุ่มก๊าซจะหมุนวนเร็วขึ้น รูปร่างจึงกลายเป็นทรงกลม มีแรงโน้มถ่วง ดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลาง น้ำหนักก๊าซที่อยู่ผิวนอกหรือด้านบน จะกดทับก๊าซที่อยู่ด้านในหรือด้านล่าง เมื่อมีน้ำหนักกดทับ แรงดันของก๊าซที่อยู่ด้านในจะเพิ่มขึ้น ทำให้ก๊าซที่อยู่ด้านในใจกลางดาวฤกษ์ อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออุณหภูมิที่ใจกลางดาวฤกษ์ สูงขึ้นมากกว่า 10 ล้านองศาเซลเซียส จะเกิดปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ หลอมรวมก๊าซไฮโดรเจน เป็น ฮีเลียม เกิดเป็นธาตุที่โมเลกุุลใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เช่น คาร์บอน ออกซิเจน จนได้ธาตุหนักสุด คือ เหล็ก ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์นี้ เรียกว่า ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น

แรงระเบิดจาก ภายในใจกลางดาวฤกษ์ จะทำให้ดาวฤกษ์สามารถพยุงตัวเอง ดาวฤกษ์จะสามารถแบกรับน้ำหนักกดทับจากก๊าซที่อยู่ผิวด้านนอก ดาวฤกษ์จะอยู่ในภาวะสมดุลย์ ไม่ยุบตัวลงไปอีก จนกว่าเชื้อเพลิง คือก๊าซไฮโดรเจน และฮีเลี่ยม ใกล้จะหมด โดยเฉลี่ยใช้เวลามากกว่า พันล้านปี ถึงหลายหมื่นล้านปี ขึ้นอยู่กับขนาด และปริมาณก๊าซ ของดาวฤกษ์

ดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ จะสิ้นอายุก่อนดาวฤกษ์ขนาดเล็ก เนื่องจากอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ ดาวฤกษ์ ขนาดเล็ก อัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิง จะเป็นไปแบบช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป ทำให้อายุ ของมัน ยืนยาวกว่า

ดาวฤกษ์ สามารถแบ่งระดับ ตามสเปกตรัม ได้เป็น

ดาวฤกษ์สีขาว และดาวฤกษ์สีน้ำเงิน

ดาวฤกษ์สีเหลือง

ดาวฤกษ์สีส้ม และ ดาวฤกษ์สีแดง
ดาวฤกษ์ที่กำเนิดขึ้น เมื่อเผาผลาญเชื้อเพลิงไปเรื่อยๆ ก็จะมีจุดจบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดหรือมวลของดาวฤกษ์นั้น จุดจบดังกล่าวอาจเป็นการใช้เชื้อเพลิงจนหมดกลายเป็น ดาวแคระขาว หรือเกิดระเบิดที่เรียกว่า ซุปเปอรโนวา (supernova) สาดมวลด้านนอกออกมา ส่วนแกนกลาง ของ ดาวฤกษ์ จะกลายเป็นดาวนิวตรอน ซึ่งอาจกลายเป็นหลุมดำได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ส่วนมวลที่สาดออกมาจาก ซุปเปอร์โนวา (supernova) จะเป็นกลุ่ม ก๊าซไฮโดรเจน ฮีเลี่ยม และธาตุต่างๆที่ถูกสร้างขึ้นจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นภายในดาวฤกษ์ เกิดเป็นเนบิวลา และถ้า เนบิวลา มีก๊าซที่เป็นเชื้อเพลิง เช่นไฮโดรเจน และฮีเลียม ในปริมาณมากพอ อาจพัฒนาเป็นดาวฤกษ์ รุ่นใหม่ได้อีก ตัวอย่างที่เช่น การ กำเนิดดวงอาทิตย์ และระบบสุริยะ ก็เกิดจากเนบิวลา หรือ กลุ่มก๊าซ ที่หลงเหลือจาก ซุปเปอร์โนวา (supernova) ของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ ดวงใดดวงหนึ่งในอดีต ในทางช้างเผือก


แหล่งที่มา http://www.origins-earth-life.com/

กำเนิดดาราจักร หรือ กาแลกซี่


ราว 500 – 10,000 ล้านปี หลังจากกำเนิดเอกภพ อุณหภูมิของก๊าซไฮโดรเจน และฮีเลี่ยมที่เกิดขึ้นจากบิ๊กแบง (Big Bang) ค่อยๆลดลง แรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลเริ่มมากขึ้น จึงทำให้ก๊าซรวมกลุ่มกัน เกิดการหมุนวนของกลุ่มก๊าซ และค่อยๆหดตัวลง โดยแยกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ หลายแสนล้านกลุ่ม แต่ละกลุ่มพัฒนากำเนิดเป็นดาราจักร หรือกาแล็กซี่ ภายในแต่ละดาราจักร หรือกาแล็กซี่ กลุ่มก๊าซจะค่อยๆรวมกันเป็นกลุ่มย่อยๆ อีกนับล้าน กลุ่ม เกิดการหมุนวนของกลุ่มก๊าซย่อยๆ และค่อยๆหดตัวลง เป็นการ กำเนิดดาวฤกษ์ กระจุกดาวฤกษ์ และส่วนประกอบอื่น เช่น เนบิวลา หลุมดำ

ดาวฤกษ์ กำเนิดจากกลุ่มก๊าซไฮโดรเจน และฮีเลียม ที่รวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อยๆ ภายใน ดาราจักร หรือ กาแล็กซี่ และหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีรูปร่างเป็นก้อนทรงกลม จึงมีแรงโน้มถ่วง ดึงดูดเข้าสู่ศูนย์กลางของดาวฤกษ์ น้ำหนักของก๊าซที่อยู่ผิวนอกหรือด้านบน จะกดทับก๊าซที่อยู่ด้านในใจกลางหรือด้านล่าง ทำให้ก๊าซในใจกลาง มีความหนาแน่นมากขึ้น แรงดันสูงขึ้น อุณหภูมิในใจกลางดาวฤกษ์จึงสูงขึ้น เมื่ออุณหภูมิในใจกลางดาวฤกษ์ สูงมากกว่า 1 ล้านองศาเซลเซียส จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น เผาไหม้หลอม ก๊าซไฮโดรเจน กลายเป็นฮีเลี่ยม แรงระเบิดจากปฎิกิริยาดังกล่าว จะทำให้ดาวฤกษ์ พยุงตัว รับน้ำหนักกดทับที่เกิดจากก๊าซด้านนอกได้ ดาวฤกษ์ที่กำเนิดขึ้นมา จึงอยู่ในภาวะสมดุลย์

ภายในหนึ่งดาราจักร หรือกาแล็กซี่ อาจมีดาวฤกษ์ จำนวนไม่กี่แสนดวง หรืออาจมีดาวฤกษ์เป็นจำนวน มากถึง ล้าน ล้านดวง ดาวฤกษ์ที่กำเนิดขึ้น มีหลายขนาด ดาวฤกษ์ไม่ได้กำเนิดพร้อมกัน อายุขัย ของดาวฤกษ์ แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปริมาณ หรือ มวลของก๊าซที่เป็นเชื้อเพลิง คือไฮโดรเจน ฮีเลี่ยม ที่รวมตัวกันเป็นดาวฤกษ์

ดาราจักร หรือกาแล็กซี่ ที่กำเนิดขึ้น มีอยู่หลายแบบด้วยกันคือ

ดาราจักรทรงรี (elliptical galaxy)

ดาราจักรก้นหอย (spiral galaxy)

ดาราจักรแปลก (peculiar galaxy)

ดาราจักรชนิดดาวกระจาย (starburst galaxy)

ดาราจักรไร้รูปแบบ (irregular galaxy)
ปัจจุบัน มีการตรวจพบดาราจักร หรือกาแล็กซี่ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ คาดว่ามี ดาราจักร หรือกาแล็กซี่ มากกว่า 5 แสนล้าน โดยดาราจักร หรือกาแล็กซี่ ส่วนใหญ่ จะจับกลุ่มกัน เรียกว่า กระจุกดาราจักร (cluster) ถ้ามีขนาดใหญ่เรียกว่า กลุ่มกระจุกดาราจักร (supercluster)

ดาราจักร หรือกาแล็กซี่ทางช้างเผือก (Milky Way) คือดาราจักร หรือกาแล็กซี่ ที่ ระบบ สุริยะ ของเราอาศัยอยู่ เป็นดาราจักรแบบก้นหอย ดวงอาทิตย์ เป็นเพียงดาวฤกษ์ ขนาดกลางดวงหนึ่ง ใน จำนวนดาวฤกษ์ที่มีอยู่ในดาราจักรทางช้างเผือก มากกว่าแสนล้านดวง
ดาราจักร หรือกาแล็กซี่ ส่วนมาก เป็นแบบ ดาราจักรแคระ คือมีจำนวนดาวฤกษ์ อยู่ประมาณ พันล้านดวง มีขนาดเพียงหนึ่งในร้อยส่วนของทางช้างเผือกเท่านั้น



แหล่งที่มา http://www.origins-earth-life.com/

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก <ยุคใหม่>


ชื่อสถานที่    ชิเชน อิตสา
                      : Chichen Itza

สถานที่ตั้ง ประเทศเม็กซิโก

ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

ชิเชน อิตสา เป็นส่วนหนึ่งของมหาวิหารจำนวนมากมายซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ตัววิหารก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้น ๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า มหาวิหารแห่งนักรบ สร้างคริสต์ศตวรรษที่ 12 สร้างทีหลัง วิหารเก่าแห่งชัคมูล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไปใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดย ใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น
ลักษณะโดยทั่วไปของชิเชน อิตสา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้น ๆ มีบันไดกลาง รอบ ๆ ทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ้งอยู่กลางเมือง ที่สาธารณะ เป็นที่รวมของฝูงประชาชน
ชนเผ่ามายาแห่งเม็กซิโก สืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากเอเชีย เข้ามายัง อเมริกา ทางช่องแคบเบริ่ง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อน และความมี สติปัญญาอันสูงส่งในขณะเดียวกัน
พวกมายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ทางอักษรศาสตร์ ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็น่าแปลก ที่พวกนี้มิได้ค้นพบประโยชน์อันเกิดจากล้อเลื่อน
ศูนย์กลางของอารยธรรมของคนพวกนี้อยู่ที่ชิเชน อิตสา ในคาบสมุทรยุกาตัน ผู้ค้นพบ ขุมอารยธรรมเหล่านี้แล้วนำออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้ทราบคือ นายธอมป์สัน ชาวอเมริกา ผู้ใช้ ชีวิตซอกซอนท่องเที่ยวไปในหมู่พวกมายาด้วยความสนใจจะศึกษาสิ่งลึกลับต่าง ๆ
บางทีอาจกล่าวได้ว่าพวกมายาจะเป็นต้นตำรับของพวกบูชาความสงบที่ต้องการศาสนารุนแรง นองเลือด หลังจากที่เคยพ่ายแพ้พวกชนเผ่าโตลเต็ค ซึ่งอยู่ตอนกลางของเม็กซิโก ในท้ายที่สุด พวกมายาก็ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ที่นิยมความรุนแรงที่เหนือกว่า ในเมื่อผู้ชนะที่กระหายเลือด โลภที่ จะได้ทอง และทรัพย์สมบัติของพวกมายาอย่างเต็มที่





ชื่อสถานที่            รูปปั้นของพระเยซู เมือง ริโอ เดอ จาเนโร
: Statue Cristo Redentor

สถานที่ตั้ง เมือง Rio de Janeiro ประเทศบราซิล

ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


รูปปั้นของพระเยซูที่โปรดให้พ้นบาป ยืนสูง 30 เมตร (98ฟุต) และกำลังมองข้ามเมือง Rio de Janeiro หนึ่งในรูปปั้นสูงที่สุด ในโลก. รูปปั้นแสดง พระเยซูเยืนยื่นแขนออกมาต้อนรับ และเป็นหนึ่งของสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงมากของเมืองนี้ พัฒนาดดยวิศวกร Heitor da Silva Costa และองค์กร สร้างขึ้นในปี 1921 ดครงการทำเกือบ 5 ปีจึงเสร็จสิ้น รูปปั้นอยู่บนภูเขา Corcovado (ภูเขา Hunchback ) และตั้งใน อุทยานแห่งชาติ Tijuca เป็นสถานที่ปิคนิกที่รื่นเริง นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปฐานของรูปปั้น ซึ่งสูง 709 m (2326ฟุต) สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของภูเขา Sugar Loaf กลางเมือง Rio de Janeiro และชายหาดของ Rio de Janeiro นักท่องเที่ยวสามารถ ขึ้นรถไฟ ไปบนยอดของภูเขาเพื่อมองรูปปั้นอย่างใกล้ชิด และสร้างวิวที่สวยงามมากมาย





ชื่อสถานที่    สนามกีฬากรุงโรม
                        : Colosseum of Rome

สถานที่ตั้ง กรุงโรม ประเทศอิตาลี

ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่าง สิ พ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80)

ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมาก ท ปีๆ ธิ หนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลง ชั ก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน

ในปัจจุบัน  เหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม





ชื่อสถานที่    กำแพงเมืองจีน
                            : Great Wall of China

สถานที่ตั้ง ประเทศจีน

ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงอิฐยักษ์ เป็นกำแพงกั้นเมือง และกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้านเหนือของจีน เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา หาที่ใดในโลกมาเปรียบ ไม่ได้อีกแล้ว มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง 7.5 เมตร(10 ฟุต) ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง 8 ได้อย่างสบาย ๆ มีความสูง จากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร(20-30 ฟุต หนา15-25 ฟุต) สูงพอที่จะไม่สามารถ ปีนข้ามไปได้ง่าย ๆ เดิมเชื่อว่ามีความยาว 2,550 ไมล์ ( 2,400 กิโลเมตร) บนกำแพงทุก ๆ ระยะ 200 เมตร(300 ฟุต) จะมีหอหรือป้อม สำหรับตรวจเหตุการณ์ มีป้อมมากกว่า 15,000 แห่ง สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตร และมีระฆังแขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุ ไว้ประจำทุกหอ รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างปี พ.ศ. 300-329 (243-252ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี และมีการสร้างต่อเติมอีกหลายกครั้ง ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศ นับจำนวนล้าน มีผู้เสียชีวิตนับพันนับหมื่น

เป็นสิ่งก่อสร้าง ชนิดเดียวในโลก ที่สามารถมองเห็น เมื่อมองจากดวงจันทร์ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ป้องกันข้าศึกได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันไม่มีความหมายในด้านป้องกันประเทศอีกแล้ว คงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก




ชื่อสถานที่    อาณาจักรอินคา
                                  : Inca city , Machu Picchu

สถานที่ตั้ง เมืองบคุสโซ ประเทศเปรู

ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


ใกล้ๆ เมืองคุสโซ ภูมิประเทศแสนกันดารยากจะเข้าถึง เป็นยอดสูงมีบริเวณรอบ ๆ รวมแล้วความสูงของหน้าผาประมาณ 304.8 เมตร (1,000 ฟุต) ฮิแรม บิงแฮม นักสำรวจชาวอเมริกัน ไปพบมาจุ ปิคชุ ในปี ค.ศ. 1911 บริเวณนั้นเป็นป่าใหญ่คลุมพื้นที่อยู่ นอกจากสิ่งก่อสร้าง ปรักหักพังบางส่วนที่โผล่อยู่ให้เห็นสิ่งก่อสร้างดังกล่าวบ่งบอกให้เห็นความสามารถยอดเยี่ยม เชิงสถาปัตยกรรมของชาวอินคาในอดีตที่ปรากฎก็มีโบสถ์วิหาร อ่างหินสำหรับเก็บน้ำ บันไดหินเป็นพัน ๆ ขั้น เพือเป็นทางทอดระเบียงลงไปในที่ต่าง ๆ แห่งนครผู้เขานี้
เรื่องราวการพิชิตอาณาจักรอินคาเริ่มจากปี ค.ศ. 1532 เกิดการต่อสู้วิวาทของชาวพื้นเมือง เปิดโอกาสให้ ฟรานโก ปิซาโร นักผจญภัยชาวสเปน จับหัวหน้าเผ่าอินคาชื่อ อตา ฮวลปา ไว้บังคับให้บอกที่ซ่อนทองพอรู้เรื่องก็ปล้นยึดเอาไปจากอาณาจักรอินคาแต่เป็นชัยชนะระยะสั้น ได้เกิดการสู้รบระหว่างนักผจญภัยชาวสเปนคนอื่น ๆ และปิซาโร ลงท้ายด้วยปิราโซกับพวก จำนวนมากได้ถูกสังหาร พวกชาวพื้นเมืองพยายามตีโต้ขับไล่พวกสเปนจากภูเขาที่มั่นคงแข็งแกร่งแห่งมาจุ ปิคชุ

หลังจากพวกอินคาได้ลุกฮือขึ้นต่อสู้ได้มีการตั้งผู้ปกครองคือ มานโค คาแปค ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก สมัยมานโคที่ 2 ชาวพื้นเมืองได้รวมตัวกันก่อสงครามเบ็ดเสร็จขับไล่พวกสาเปนจากภูเขาอันเป็นที่มั่น รบกันไม่นาน ฝ่ายสเปนกลับได้เปรียบ พวกชาวพื้นเมืองเผ่าอินคาถูกสังหารล้มตายลงราวกลับใบไม้ร่วง จนในที่สุดแม้ตัวมานโค ผู้เป็นหัวหน้าก็ตายในที่รบ





ชื่อสถานที่    เปตรา
                     : Petra

สถานที่ตั้ง ประเทศจอร์แดน

ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้


นครเปตราในจอร์แดนเป็นเมืองที่เจาะสลักเข้าไปในหินเกือบทั้งหมด รอบบริเวณ ไม่ว่าจะเป็น วิหาร หลุมศพ บันได โรงละคร ซึ่งขุดสลัก มาแต่ยอดเขาลงมาเป็นหลืบลดหลั่นเป็นช่อชั้นงดงาม แสดงถึงฝีมือและ ศิลปะในการสลักหินได้อย่างยอดเยี่ยม สีของหินก็กลมกลืนกันดี ตัวตึกสี เลือดนก สีกุหลาบและสีม่วงเป็นลำดับ ถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม เบื้องต้นของเขตตะวันออกกลางที่เรียกว่านาบาทีนส์ คนแถบนี้เป็นพวกเร่รอน อาชีพเลี้ยงแกะอยู่ไม่เป็นที่ เป็นพวกชอบทำธุรกิจค้าขายเครื่องเทศจากตะวันออก ไปยังเขตเมดิเตอร์เรเนียน จากนั้นก็ขนส่งลงเรือไปสู่ยุโรป ในช่วงเวลาที่มีการ ค้าขายอย่างกว้างขวางกับอาณาจักรต่าง ๆ สืบมาจนถึงปัจจุบันได้ใช้เส้นทาง ในเขตซีเรียสู่ซาอุดีอารเบียโดยอาศัยกองคาราวานขนส่ง ได้สร้างความร่ำรวย และอำนาจราชศักดิ์ จนได้กลายมาเป็นนครเปตราขึ้นจากพวกอีโดไมท์ ซึ่งถือ เป็นเมืองหลวงในราว 300 ปี ก่อนคริสต์กาล

ในคริสต์ศตวรรษที่2 พวกนาบาทีนส์ต้องพ่ายแก่เผ่าพวกโรมัน จำเป็นต้องเข้ารวมกับอาณาจักรโรมันแต่ความสำคัญด้านการค้าของนครเปตรา ยังอยู่ต่อไปโดยมีชาวโรมันคอยหนุนหลัง ถนนโรมันถูกสร้างขึ้นจากซีเรียไปยังทะเลแดง โดยฝีมือของชาวเมืองทรอยตามอย่างถนนโรมัน ศิลปะนี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป พวกศริสเตียนได้นำมาดัดแปลงสร้างเป็นสถานนมัสการพระเจ้า

สิ่งก่อสร้างสำคัญชิ้นหนึ่งในนครเปตราคือมหาวิหารกวาซร์ ฟีราโอน ซึ่งสร้างสมัยพระเจ้าอาเรตัสที่4 มหาราชของชาวนาบาทีนส์ ซึ่งครองราชย์ระหว่าง 9 ปีก่อน ค.ศ. จนถึง ค.ศ. 40

การบูรณปฏิสังขรณ์นครเปตรากำลังดำเนินอยู่อย่างมาก ในปัจจุบัน นครแห่งนี้ถูกค้นพบในรูปปรักหักพังมาตั้งแต่ ค.ศ. 1812 นับเป็นนครที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ให้ไปชมปีละมากมาย ความนิยมดังกล่าวช่วยยกฐานะให้นครเปตรากลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ โปราณสิ่งหนึ่งในโลก





ชื่อสถานที่    ทัชมาฮัล
                        : Taj Mahal

สถานที่ตั้ง เมืองอักรา ประเทศอินเดีย

ปัจจุบัน สามารถเข้าเยี่ยมชมได้

ทัชมาฮัล เป็นอนุสาวรีย์แห่งความรักที่ยิ่งใหญ่ของโลก เพราะที่นี่เป็นสุสานฝังศพของ มุมทัชมาฮัล ราชินีผู้ป็นที่รักยิ่งของ พระเจ้าชาห์เยฮัน อยู่ในเมืองอัคระ บนฝั่งแม่น้ำยมนา ประเทศอินเดีย

มุมทัชมาฮาล เป็นมเหสีที่พระเจ้าชาห์เยฮันรักมากที่สุด พระนางสิ้นพระชนม์เพราะคลอดโอรสองค์ที่ 15 ซึ่งทำให้พระเจ้าชาห์เยฮัน เศร้าโศกมาก พระองค์จึงสร้างที่ฝังศพที่หญ่โตที่สุดในโลกขึ้นที่ริมแม่น้ำยมนา
สร้างระหว่างปี พ.ศ. 2173-2191 (ค.ศ. 1630-1648) เสียเวลาสร้างอยู่ 23 ปี ทกส่วนสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวนวลบริสุทธิ์ ตามแบบสถาปัตยกรรมเปอร์เซีย โดยสถาปนิก อุสตาด ไอสา (Ustad lsa) มีผู้ร่วมสร้างเป็น ผู้ออกแบบ ช่างเขียนลวดลาย ช่างอิฐ ช่างปูน ช่างประดับลวดลายด้วยกระเบื้อง ช่างแกะสลัก ช่างตกแต่งภายใน รวม 20,000 คน วัตถุในการก่อสร้าง คือ หินอ่อนสีขาวจากเมืองมะครานา หินอ่อนสีแดงจากเมืองฟาตีบุระ หินอ่อนสีเหลือง จากฝั่งแม่น้ำนรภัทฑ์ เพชรตาแมวจากกรุงแบกแดด ปะการัง และ หอยมุกจากมหาสมุทรอินเดีย หินเจียรไนสีฟ้าจากเกาะลังขะ เพชรจากเมืองบนทลขัณฑ์ สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 50,000,000 เหรียญอเมริกัน หรือ ประมาณ 1,000,000,000 บาท

ซึ่งได้รับคำรับรองจากสถาปนิกทั่วโลกว่าสร้างขึ้นโดยถูกสัดส่วน และ วิจิตรงดงามที่สุด กว้างยาวด้านละ 39 เมตร(130 ฟุต) ตรงกลางมีโดมสูง 60 เมตร(200 ฟุต) มีโดมเล็กๆ เป็นหสูงอยู่ทั้ง 4 มุม ภายในประดับด้วย หินอ่อนสลักฉลุเป็นลวดลายวิจิตรตระการตาแทรกเสริมด้วย พลอยสี ทับทิม และนิล ตรงกลางภายใต้หลังคาโดมใหญ่มีแท่นวางหีบศพที่ทำด้วยหินอ่อน และมีฉากหินอ่อนฉลุลายงามเป็นพิเศษกั้นอีกชั้นหนึ่ง แต่ศพจริงๆ ไม่ได้บรรจุอยู่ในหีบ หากฝังอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินตรงกับที่วางหีบศพนั้น ภายหลังที่สร้างทัชมาฮัล ซาร์เจฮันใฝ่ฝันที่จะสร้าง ที่ฝังศพตัวเองที่ฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามจะเป็นหินอ่อนสีดำล้วนๆ แต่ลูกชายเกรงเงินจะหมดจะไม่มีใช้ เมื่อขึ้นครองราชสมบัติจึงจับพ่อขังอยู่ได้ 7 ปี ก็สิ้นพระชนม์ ประมาณปี พ.ศ.2209 (ค.ศ.1666) แล้วเอาศพไปฝังข้างศพแม่ ส่วนนายช่างผู้ออกแบบถูกสั่งให้ประหาร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสออกแบบสิ่งก่อสร้างใด ๆ ที่สวยกว่าได้

ทัชมาฮัลเป็นสถาปัตยกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าสร้างขึ้นมาได้อย่างเหมาะสมสวยงามน่ามหัศจรรย์




แหล่งที่มา http://www.tlcthai.com/

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ต้นไม้ที่แปลก ที่สุด ในโลก !!


1. Baobab

ต้นไม้ที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือต้น Baobab หรือต้นขนมปังลิง! (monkey bread tree) สามารถเติบโตได้ถึง 100 ฟุตและกว้าง 35 ฟุต สิ่งแปลกประหลาดของต้นไม้นี้ก็คือ ภายใต้ลำต้นที่บวมนี้คือ ที่เก็บน้ำที่จุได้มากถึง 120,000 ลิตร ไว้ใช้ในสภาวะอากาศแห้งแล้ง



2. Bristlecone Pine

ต้นสน Bristlecone ถือได้ว่าเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่มาก ซึ่งพันธุ์ Methuselah นั้นจัดเป็นต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ที่มีอายุ 4,838 ปี อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง 11,000 ฟุต




3. Banyan

ต้น Banyan ตั้งชื่อตาม "banians" หรือผู้บุกรุกชาวฮินดูที่ทำกิจกรรมต่างๆ ภายใต้ต้นไม้นี้ และต้น Banyan เคยเป็นบ้านต้นไม้ของโรบินสัน ครูโซมาแล้วด้วย!




4. Tule

ต้น Tule เป็นต้นที่ใหญ่ที่สุดในต้นไม้ตระกูล Montezuma Cypress ตั้งอยู่ใกล้กับเมือง Oaxaca ประเทศเม็กซิโก มีขนาดลำต้นโดยรอบ 190 ฟุต (58 เมตร) ซึ่งมีความหนาจนผู้คนพูดว่าแทนที่คุณจะโอบกอดมัน...มันกลับโอบกอดคุณแทน!




5. Pando

ต้น Pando หรือ Trembling Giant ในรัฐยูท่าห์ ประกอบไปด้วยกว่า 47,000 กิ่งก้านสาขาที่แผ่ขยายไปทั่วพื้นที่ 107 เอเคอร์ หนักประมาณ 6,600 ตัน และมีระบบรากแก้วใต้ดินที่ใหญ่โตมาก เฉลี่ยแล้วแต่ละกิ่งก้านนั้นมีอายุประมาณ 130 ปี รวมทั้งระบบของต้น
 
 
 
 
6. Chapel - Oak of Allouville - Bellefosse

ต้น Chapel - Oak of Allouvill - Bellefosse เป็นต้นไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส มันไม่ใช่เพียงแค่ต้นไม้ธรรมดา แต่เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาอีกด้วย ในปัจจุบันบางส่วนของโอ๊คต้นนี้ได้ร่วงเลยไปบ้างแล้วตามกาลเวลา แต่ผู้คนที่นั่นใช้เสาและสายเคเบิ้ลในการรองรับต้นไม้เก่าแก่ต้นนี้




7. Coast Redwood

ต้น Coast Redwood ถือเป็นต้นไม้ที่สูงที่สุดในโลก โดยเจ้าต้นที่ชื่อว่า Hyperion ใน Redwood National Park นั้นมีความสูงกว่า 379 ฟุต (115 เมตร) จุดเด่นของมันก็ ต้น Coast Redwood จะประกอบไปด้วยต้นแคลิฟอร์เนียเรดวู้ดยักษ์ถึง 4 ต้น ซึ่งมันใหญ่ขนาดที่ว่าเราสามารถขับรถผ่านได้!




8. Giant Sequoias

ต้น Giant Sequoias ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปลูกใน เซียร์ร่า เนวาดา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งต้น Giant Sequoias ที่ใหญ่ที่สุดคือพันธุ์ Genaeral Sherman ตั้งตระหง่านใหญ่ยักษ์อยู่ใน Sequoia National Park มีลำต้นสูงถึง 275 ฟุต (83.8 เมตร) และหนัก 6,000 ตัน






9. Circus

Axel Erlandson เกษตรกรปลูกถั่วคนหนึ่งได้ดัดแปลงและแกะสลักต้นไม้เป็นรูปร่างและลวดลายที่ แสนมหัศจรรย์จริงๆ เขาได้ตั้งชื่อมันว่าต้น “Circus” นี่คือตัวอย่างเจ้าต้น Circus ที่คิดว่ากว่าจะทำได้คงลำบากน่าดู...
 
 
 

10. Lone Cypress

ต้น Lone Cypress ขึ้นต้องแรงปะทะโดยลมหนาวจากมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ที่ชายหาด Pebble ในมอนทาเร่ รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตมาก แต่มันตั้งเด่นเป็นสง่า (แบบว้าเหว่) อยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่สวยงามของมหาสมุทรแปซิฟิก




 
 
 
อันไหนถ้า เห็น แล้ว มัน อาจจะ ธรรมดา  เกินไป ก็ ขอ โทษ ด้วยนะ ค๊าบ   ( >/|\< )
 
 
 
 

10 สถานที่ ไม่น่า เชื่อว่า มีอยู่ จริงบนโลก นี้ ครับท่าน


อันดับ 10 The Door To Hell

ประตูสู่นรก(Door to Hell) หลุมที่เต็มไปด้วยลาวาที่ไม่เคยดับมาตลอด 35 ปี และไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะดับลงเมื่อไหร่ อีกทั้งไม่มีใครกล้าลงไปสำรวจ สถานที่นี้ตั้งอยู่ที่เมืองหนึ่งของ Darvaz ในประเทศอุซเบกิสถาน
ใครอยากเห็นมากกว่านั้นไป Google Earth ที่ 40°15′8″N 58°26′23″E


อันดับ 9 Mount Roraima

รัฐโรไรมา เป็นรัฐเหนือสุดและเป็นรัฐที่มีประชากรน้อยที่สุดในประเทศบราซิล ตั้งอยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำอเมซอน อยู่ติดกับรัฐอามาโซนัสและรัฐปารา และยังติดกับประเทศเวเนซุเอลาและกายอานา โรไรนาเป็นสถานที่สวยงามโดดเด่น โดยเฉพาะจุดเด่นคือภูเขาเโรไรม่า ภูเขาที่เหมือนก้อนหินมหึมาที่สูงจนถึงก้อนเมฆ สูงกว่า 400 เมตร สูงชันทั้ง 4 ด้าน และติดกับสามชายแดนคือเวเนซูเอลา, บราซิล และกายอานา ที่นั้นมีพืชและสัตว์ที่แปลกประหลาดมากมาย พร้อมด้วยสภาพแวดล้อมสุดมหัศจรรย์ พร้อมหน้าตาที่สวยงามจนมันเคยปรากฏในการ์ตูนปู่ซ่าบ้าพลังมาแล้ว

 

อันดับ 8 Barringer Crater

หุบอุกกาบาตบาร์ริงเกอร์ หรือบาร์ริงเกอร์ เครเตอร์ ตั้งอยู่ในรัฐแอริโซนา ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่ระหว่างเมืองสโลว์กับเมืองแฟล็กสตาฟฟ์ เป็นหลุมอุกาบาตที่มีมีขนาด ความกว้าง 1250 เมตร ลึก 174 เมตร ถ้ามองจากพื้นราบทะเลทราย บริเวณรอบหลุมจะดูเหมือนเนินเตี้ยๆ จากการสำรวจโดย ซึ่งการค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ.1890 หลายคนยังคงเข้าใจว่าเป็นหุบภูเขาไฟธรรดา แต่ในปี ค.ศ.1890 มีการค้นพบเศษเหล็ก ในปี ค.ศ.1902 ดร. แดเนียล บาร์ริงเกอร์ ก็เข้ามาสำรวจและพบข้อเท็จจริงว่า ชั้นหินด้านตะวันออกเฉียงใต้ของหลุมสูงกว่าด้านอื่นถึง 30 เมตร ทำให้สรุปได้ว่า ลูกอุกกาบาตพุ่งชนในมุมต่ำทางทิศเหนือ และฝังตัวลงในด้านตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีการขุดบริเวณนั้นและพบเศษนิกเกิลและเศษเหล็กมากขึ้นเมื่อขุดลึกเข้าไป วงการวิทยาศาสตร์สมัยนั้นเริ่มคล้อยตามว่าเกิดจากหลุมอุกกาบาตเมื่อ ราว50,000 ปีที่แล้ว ผลจากอุกกาบาตในครั้งนั้นทำให้เกิดหลุม กว้าง 1.2 กม.ลึก 2 กม.



อันดับ 7 The Great Dune of Pyla

ไม่น่าเชื่อว่ายุโรปจะมีทะเลทราย แต่นี้มันมีอยู่จริงๆ และมันได้ถูกขนามนามว่า เป็นชายหาดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ที่คุณเห็นเป็นจุดดำๆ นั้นคือคนนะครับ มันมีชื่อว่าเนินทราย The Great of Pyla ในเมือง Arcachon… ประเทศฝรั่งเศส มียาวถึง 3 กิโลเมตร กว้างกว่า 500 เมตร สูงกว่า 100 เมตร เป็นหาดทรายขนาดใหญ่ มีความเป็นธรรมชาติ ความลึกของแม่น้ำลึกถึง 1500 เมตริก การเดินทางไปควรจะเป็นการเดินเท้าขึ้นไปเพราะมันสะดวกที่สุด หากคุณขึ้นไปถึงด้านบนคุณจะพบทัศนียภาพที่สุดแสนจะสวยงาม ส่วนสาเหตุการเกิดสถานที่แห่งนี้เนื่องมาจากจุดสถานที่นี้เป็นจุดที่ทรายจากที่ต่างๆ ถูกลมทะเลพัดโถมกันมาเรื่อยๆ จากกองเล็กๆ จนเป็นกองขนาดมหึมาแบบนี้ และมันจะค่อยๆ กินเนื้อที่เข้ามาในเมืองเรื่อยๆ ปีละ 4.5 เมตร และหากปล่อยไว้มันจะกลายเป็นเมืองแห่งทรายในที่สุด



อันดับ 6 Socotra

ไม่น่าเชื่อว่านี้คือเกาะบนโลกมนุษย์เพราะว่ามันช่างเหมือนบนดาวเคราะห์ที่มีแต่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดจริงๆ เกาะโซโคตร้า เป็นหมู่เกาะเล็กๆภายใต้เยเมน. ที่ปลายติ่งแหลมของทวีปแอฟริกา (Horn of Africa) อยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากประเทศโซมาเลีย 250 กิโลเมตร เป็นเกาะใหญ่ที่สุดในจำนวน 4 เกาะสังกัดหมู่เกาะ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปเมื่อ กรกฏาคม 2008 นี้ สภาพภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าว และแห้งแล้ง ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นภูเขาอันแปลกตาแปลกใจ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีฟ้าและเขียวจากธรรมชาติ แต่สิ่งที่แปลกที่สุดคือมันเป็นสถานที่รวมแห่งพืชพรรณแปลกประหลาดหลายชนิด ต้นไม้รูปทรงแปลก ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดได้อายุกว่า 20 ล้านปี การแยกโดดเดี่ยวได้นำมาให้ Socotra กลุ่มพืชและสัตว์ “หนึ่งไม่มีสอง” ในโลก 37% ในจำนวนพืช 825 ชนิด สัตว์เลื้อยคลาน 90% และสัตว์น้ำมีเปลือกชนิดต่างๆ 95% ที่ ไม่สามารถพบเห็นในไม่ว่าสถานที่อื่นใดโลก เช่น ต้น “กุหลาบแห่งทะเลทราย (Desert Rose)”ต้น dragon’s blood (เลือดมังกร) ที่ว่ากันว่ามีสรรพคุณรักษาได้สารพัดโรค จึงไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่เกาะแห่งนี้จะถูกขนามนามว่า “Galápagos ของมหาสมุทรอินเดีย”



อันดับ 5 Greenland 83-42

กรีนแลนด์ เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเป็นดินแดนทางเหนือสุดของโลก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอาร์กติกและเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ประมาณ 2,175,900 ตารางกิโลเมตร มีฐานะเป็นดินแดนปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก เป็นเกาะที่มีทิวทัศน์สวยงามมากๆ และบ้านเรือนที่แปลกตาหลากสีสันและสถานที่แปลกใจนั้นคือจุด 83-42 เชื่อกันว่า northernmost จุดถวารของโลก มันเป็นพื้นที่ที่เล็กนิดเดียว แค่ 15 -4 เมตร สูง 4 เมตร ห่างจากขั้วโลกเหนือไป 400 ไมล์ ถูกค้นพบในปี 1998 และพบว่ามีพืชเติบโตอยู่ที่นั้น พื้นที่แห่งนี้เต็มไปด้วยก้อนกรวดที่ไม่มันคงและไม่ปกคลุมน้ำแข็ง จนกลายเป็นพื้นที่อัศจรรย์ในที่สุด



อันดับ 4 Rotorua New Zealand

สถานที่แห่งนี้อยู่ในเมืองโรโตรัวเมืองชายฝั่งทางตอนใต้ของทะเลสาปชื่อเดียวกันในพื้นที่ของเกาะทางเหนือของ ประเทศนิวซีแลนด์เมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน แหล่งรวมความอัศจรรย์ของน้ำพุร้อน ป่า ทุ่งหญ้าและทะเลสาบ อุดมสมบูรณ์ด้วยปลาเทราต์ ที่ค่อนข้างลึกลับซับซ้อนน่าค้นหา


ด้วยสภาพภูมิประเทศของเมืองตั้งอยู่ในเขตภูเขาไฟจึงมีบ่อโคลนร้อนมากมาย ทำให้เป็นที่มาของชื่อเรียกขานอีกอย่างหนึ่งของเมืองนี้ว่า ‘เมืองแห่งซัลเฟอร์’ (Sulphur City) เพราะบรรดาบ่อโคลนทั้งหลายนี้ได้ปล่อยซัลเฟอร์หรือกำมะถันออกมาฟุ้งกระจายไปทั่วเมือง นอกจากนี้ยังมีบ่อน้ำแร่ น้ำพุร้อนมากมายทำให้เมืองโรโตรัวกลายเป็นเมืองสปาธรรมชาติชั้นเยี่ยมของนิวซีแลนด์อีกด้วย

สถานที่แนะนำ Pohutu Geyser น้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดร้อนที่พุ่งขึ้นเหนือพื้นดินสูงราว 30 เมตร ประมาณ 1–2 ครั้งต่อชั่วโมง และ Waiotapu Thermal Wonderland สวนบ่อน้ำร้อนและโคลนเดือด เป็นบ่อโคลนเดือด และมีลวดลาย มีการเคลื่อนไหว และทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ ก็จะได้ภาพลวดลายใหม่ๆ ทุกครั้ง



อันดับ 3 Don Juan Pond

เป็นทะเลสาบในทวีปแอนตาร์กติกาที่มีความเค็มถึง 40% มีความเค็มเทียบเท่า Dead Sen ตั้งชื่อตามคนค้นพบซึ่งเป็นสองนักบินคือ Lt Don Roe และ Lt John Hi ในปี 1961 เป็นทะเลสาบขนาดเล็กเพียง 100 เมตร และลึกประมาณ 0.1 เมตร ซึ่งตื้นมากๆ อุณหภูมิน้ำติดลบ 22 องศาฟาเรนไฮด์ แต่น้ำยังอยู่สถาวะของเหลว



อันดับ 2 Iceberg B-15

ภูเขาน้ำแข็งที่ถูกบันทึกว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา มันมีพื้นที่ 3,100 ตร.กม ทำให้มันมีขนาดใหญ่กว่าเกาะจาเมกา เป็นภูเขาน้ำแข็งที่แตกหักออกมาจากแผ่นน้ำแข็ง Ross ในทวีปแอนตาร์กติกาในปี 2000 ภูเขาน้ำแข็งขนาดยักษ์นี้อยู่นอกชายฝั่งทวีปแอนตาร์กติกา ลอยอยู่ในมหาสมุทรท่ามกลางคลื่นและลมไม่มีท่าทีว่ามันจะละลายหายไปเลย



อันดับ 1 Guaíra Falls

น้ำตกอีกวาซู (Iguazu Falls) คำว่าอีกวาซู แปลว่า “สายน้ำอันยิ่งใหญ่” เป็นคำมาจากภาษากวารานี (Guarani)ชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม น้ำตกอีกวาซูตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศอาร์เจนตินา เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และขึ้นชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกโดยใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาประมาณ 30 เท่า อย่างไรก็ตามขนาดของน้ำตกใกล้เคียงกับน้ำตกวิกตอเรียในทวีปแอฟริกา น้ำตกอีกวาซูเกิดจากแม่น้ำอีกวาซูซึ่งไหลมาจากที่ราบ สูงปารานา ตกจากขอบที่ราบสูงขนาดใหญ่ลงสู่พื้นที่ราบต่ำกว่า จึงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เป็นแนวยาวกว่า 4 กิโลเมตร สูงกว่า 269 ฟุต ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่อีก 275 แห่ง ในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมปริมาณน้ำมีมากถึงกว่า 13.6 ล้านลิตรต่อวินาที แต่ในช่วงฤดูร้อน คือระหว่างเมษายนถึงเดือนตุลาคม ปริมาณน้ำจะลดลงเหลือ 2.3 ล้านลิตรต่อวินาที บริเวณรอบ ๆ น้ำตกจะเกิดละอองน้ำอยู่ตลอดเวลาและมีเสียงดังไปไกลก ว่า 24 กิโลเมตร บนฝั่งประเทศบราซิลจะมองเห็นน้ำตกได้ทั่วถึงและงดงาม แต่ทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินาสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้กว่า



อ้างอิงจาก


http://listverse.com/2009/12/18/10-unique-and-amazing-places-on-earth/

http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=186

10 ปลา น้ำจืด ที่ใหญ่ ที่สุดใน โลก !!!


อันดับที่ 10


ปลา มาเซียร์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Tor putitora

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำพรหมบุตร

ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 275ซม. น้ำหนัก ไม่ระบุ



อันดับที่ 9


ปลา กะพงแม่น้ำไนล์ หรือ Nile Perch

ชื่อวิทยาศาสตร์ Lates niloticus

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำไนล์

ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 200ซม. น้ำหนัก 200กก.
 

อันดับที่ 8


ปลา พิไรบ้า

ชื่อวิทยาศาสตร์ Brachyplatystoma filamentosum

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำอเมซอน และใกล้เคียง

ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 360ซม. น้ำหนัก 200กก.
 

อันดับที่ 7


ปลา อราไพมา หรือ ปลาช่อนอเมซอน หรือที่คนพื้นเมืองเรียกว่า Pirarucu

ชื่อวิทยาศาสตร์ Arapaima gigas

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำอเมซอน

ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 450ซม. น้ำหนัก ประมาณ 200กก
 

อันดับที่ 6


ปลา กระโห้

ชื่อวิทยาศาสตร์ Catiocarpio siamensis

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำแม่กรอง เจ้าพระยา แม่น้ำโขง

ขนาดเมื่อโตเต็มวัย 300ซม. น้ำหนัก 300กก.
 

อันดับที่ 5


ปลา เทพา

ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasius sanitwongsei

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ลุ่มแม่น้ำป่าสัก ลุ่มแม่น้ำโขง

ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 300ซม. น้ำหนัก ประมาณ300กก.



อันดับที่ 4


ปลา บึก

ชื่อวิทยาศาสตร์ Pangasianodon gigas

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำโขง

ขนาดเมื่อโตเต็มที่ ประมาณ 330ซม. น้ำหนักประมาณ300กก
 

อันดับที่ 3


ปลา เวลส์ แคทฟิช Wels Catfish

ชื่อวิทยาศาสตร์ Silurus glanis

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ในทวีปยุโรป

ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ500ซม. น้ำหนัก ประมาณ306กก.
 

อันดับที่ 2


ปลา ฉลามปากเป็นจีน Chinese paddlefish (ผมคิดว่าน่าจะเป็นปลาน้ำจืดที่หายากที่สุดในโลก)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Psephurus gladius

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียง

ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 700ซม. น้ำหนัก ประมาณ300กก.(สูญพันธุ์ไปแล้ว)
 

อันดับที่ 1


ปลา กระเบนราหู(น้ำจืด)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Himantura chaophraya

ถิ่นอาศัย ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แม่กรอง และโขง

ขนาดเมื่อโตเต็มวัย ประมาณ 500ซม.(เส้นผ่านศูนย์กลางขนาดจาน) น้ำหนัก ประมาณ600กก.





แถม ให้ ค๊าบ  เห็นมัน ใหญ่ ดี  (น่ากลัวด้วย)   T_T 


ปลา อริเกเตอร์การ์

ชื่อวิทยาศาสตร์ Atractosteus spatula

ถิ่นอาศัย ทางตอนใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ ลุ่มแม่น้ำมิซิซิปปี้

ขนาดเมื่นโตเต็มวัย ประมาณ 350ซม. น้ำหนัก ประมาณ127กก. อายุยืนยาว




อ้างอิงจาก http://www.tutorgohome.com/